โพสต์ล่าสุด

Thursday, June 4, 2015

ขุนแผนผงพรายกุมาร

"ประวัติผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ฉบับดร.ภิเษก ศรีสวัสดิ์ คนบ้านค่าย เลือดบ้านค่ายโดยกำเนิด..ผู้เขียนความจริง"
"กำเนิดพรายกุมารหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่"
"Little Bitty Baby Prai KuMarn Luang Pu Tim Wud LaHarnRai 1962-1972,Bankhai District,Rayong Province"
"เจ้าพรายน้อยปีขาลวันอังคารบ้านค่ายระยองกู่ก้อง
เรียกร้องความถูกต้องตอบสนองความเป็นจริงสิ่งเป็นมา"
"กำเนิดพรายกุมารปีพ.ศ.2493 ครั้งแรกครั้งเดียวของโลก"
ในปีพ.ศ.2493 หรือค.ศ.1950 มีเหตุการณ์สำคัญของไทยและของโลกเกิดขึ้นหลายความสำคัญที่น่าจดจำ เริ่มจากช่วงต้นปีจากการเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร ประเทศไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 หลังทรงสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิตย์ คณะวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์
28 เมษายน พ.ศ.2493 ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 รัชกาลที่ 9 เสวยเศวตรฉัตรมงคลเป็นครั้งที่ 2 ส่งผลให้วันที่ 5 พ.ค.ของทุกปีเป็น"วันฉัตรมงคล"
อีกด้านหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออก "สงครามเกาหลี" ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกประเทศเป็น"เกาหลีเหนือ กับ เกาหลีใต้ ได้ประทุขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2493 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 จะลงพระปรมาภิไธยส่งทหารไทยไปช่วยเกาหลีใต้รบป้องกันประเทศในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน
กลับมาที่วัดละหารไร่(วัดไร่วารี)ท้องที่ต.ละหาร บ้านค่าย ระยองในปีพ.ศ.2493 (ต่อมาต.ละหารแยกตัวออกไปจากอำเภอบ้านค่าย ไปตั้งเป็นกิ่งอำเภอปลวกแดงร่วมกับต.ตาสิทธิ์เมื่อปีพ.ศ.2513 และยกฐานะเป็นอำเภอปลวกแดงปีพ.ศ.2522 ส่วนวัดละหารไร่ ปัจจุบันขึ้นกับต.หนองละลอก บ้านค่าย ระยองตามการแบ่งเขตปกครองด้วยสภาพภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมและการติดต่อสัมพันธ์ในอดีต
ปีพ.ศ.2493 มีการค้นพบหญิงสาวตายทั้งกลมที่วัดละหารใหญ่ ที่สำคัญได้เสียชีวิตลงเมื่อวันเสาร์และกำหนดเผาหรือฝังในวันอังคารตามตำราโบราณพอดี "ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร"หลังทราบข่าวหลวงปู่ทิม อิสริโก พระเถระที่มีชื่อเสียงเรื่องพืชสมุนไพรรักษาโรคหรือเป็นพระหมอยาที่มีถิ่นพำนักอยู่ในป่าตามสภาพของวัดละหารไร่ ณ เวลานั้นมีวัย 71 ปีย่าง 72 ปี 48 พรรษาบวช ได้คำนวณการเกิดของทารกน้อยหากลืมตาดูโลกจะเกิดตรงกับวันอังคาร ปีขาลพอดีซึ่งก้อตรงตามตำรายิ่งขึ้นไปอีก โดยผู้เข้าไปทำพิธีขอร่าง'พ่อพรายน้อย'จากแม่ที่ตายทั้งกลมในครั้งนั้นคือโยมสาย แก้วสว่าง ลูกศิษย์คนสนิทของหลวงปู่ทิมกับสามเณรสาคร(ต่อมาคือหลวงพ่อสาคร อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ) สาเหตุที่โยมสาย แก้วสว่างเลือกสามเณรสาครให้ไปด้วยกับตนเองนั้นก้อเพราะสามเณรสาคร เกิดพ.ศ.2481 ปีขาล วันอังคารมีอายุมากกว่า'พ่อพรายน้อย'หากได้กำเนิดมาเป็นทารก 1 รอบเท่ากับว่าเกิดปีขาล วันอังคารเช่นกันดังนั้นจึงต้องพาสามเณรสาครไปช่วยตามเคล็ดลับวิชา "เสือย่อมไม่กินเนื้อเสือ"และก้อทำสำเร็จได้พรายกุมารมาทำตามตำราพิธีโบราณทุกอย่างจนได้"ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม"อันลือลั่นไปทั่วปฐพี
ปีพ.ศ.2505-2515 คือระยะเวลาการสร้างพระผงพรายกุมาร หลังจากที่หลวงปู่ทิม อิสริโก มีวัยเกิน 80 ปีคือ 83 ปีเพราะหากยังมีอายุไม่ถึงพระพุทธเจ้าที่ดับขันธ์ปรินิพพานในวัย 80 พรรษาแล้วหลวงปู่ทิม จะสร้างแต่"ตะกรุด"และเครื่องรางของขลังเช่นปลัดขิกทำจากไม้แก่นคูณตายพราย,พระขรรค์/กริชที่ทำจากไม้พญาดำดง ไม้ชนิดนี้ปัจจุบันสูญพันธ์ุไปแล้วโดยหลวงปู่ทิม ให้ลูกศิษย์ไปนำมาจากดงพญาเย็น ปราจีนบุรีไปกลับโดยคาราวานเกวียน 3 เล่มใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งเดือน ไม้พญาดำดงที่นำมายืนต้นตายมาแล้วหลายร้อยปี('ดงพญาเย็น'แต่เดิมเรียก'ดงพญาไฟ'ต่อมารัชกาลที่5 ทรงเปลี่ยนชื่อเรียกเพราะระหว่างสร้างทางรถไฟสายแรกกรุงเทพฯ-นครราชสีมาในปีพ.ศ.2436 เกิดไข้ป่าและไข้มาลาเรียรวมทั้งอหิวาตกโรค มีผู้คนที่บ้านปากช่องเขา หรือเขตอำเภอปากช่องในปัจจุบันเสียชีวิตมากกว่า1,000 คนจึงเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เย็นลง)ผ้ายันต์/เสื้อยันต์,ธง,ไม้แกะเป็นรูปสัตว์อาทินกสาริกาคู่,ลิงแกะ,เสือแกะจากกรามช้างน้ำ,ชูชกแกะจากไม้คูณตายพรายและพระปิดตาไม้ตับเต่าเป็นต้น
โดยหลังจากทำผงพรายกุมารเสร็จท่านได้เก็บไว้โดยไม่ได้ทำอะไรเพราะมีความเชื่อว่ายังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะมีอายุเท่าพระพุทธเจ้าในวัย 80 ปี
จนกระทั่งปีพ.ศ.2503 หลวงปู่ทิมในวัย 81 ปี 57 พรรษาบวชได้สร้างพระผงโสฬสมหาพรหมเช่นพระปิดตา,พระพิมพ์พระผงสุพรรณ,พระพิมพ์สัตตนาเคฯลฯ
ปีพ.ศ.2505-2515 เริ่มต้นสร้าง'พระผงพรายกุมารพิมพ์นางพญา'เป็นพิมพ์แรกตามคตินิยมที่ต้องสร้างตัว"แม่"ขึ้นมาก่อน ถัดมาก้อ'พระผงพรายกุมารพิมพ์พลายเพชรพลายบัว'ต่อด้วย'พระผงพรายกุมารพิมพ์สิวลี'ที่เป็นดำริสร้างของหลวงปู่ทิม หากมีไว้ครอบครองจะไม่อดอยากหากินได้คล่องตัวและสร้าง'พระผงพรายกุมารพิมพ์เศียรโต/เศียรเล็ก'รวมทั้ง'พระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมารทั้งพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่"ที่โด่งดังทั่วประเทศในขณะนี้
แม่พิมพ์ของ"พระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม อิสริโก"
แม่พิมพ์แรกหรือ'บล๊อคแรกทำจากไม้ตะเคียน'ที่แกะพิมพ์โดยโยมสาย แก้วสว่าง ต่อมาพัฒนาเป็น'บล๊อคหินมีดโกน' 'บล๊อคทองเหลือง' 'บล๊อคทองเหลืองแต่ง'และ'บล๊อคเหล็ก'
ส่วนผสมของมวลสารที่นำมาใช้กดพิมพ์พระขุนแผนพรายกุมารด้วยมือยุคแรกเริ่มคือเนื้อกระยาสารทผสมผงพรายกุมารซึ่งทำเฉพาะยุคแรกเท่านั้น เนื่องจากพิมพ์อักขระต่างๆบนองค์พระไม่ค่อยชัด ไม่สวยงามตามที่ตั้งใจต่อมาหลวงปู่ทิม ได้คิดค้นการนำเนื้อข้าวเหนียวสุกเสก น้ำข้าวมาผสมกับผงพรายกุมาร โดยมีกลวิธีที่จะให้'กุมารทอง'ได้อาศัยกินข้าวเหนียวสุกเสกเป็นอาหารไปตลอดอายุขัยที่หลวงปู่ทิม คาดคะเนไว้ว่าองค์พระจะมีความแข็งแกร่งคงทนอยู่ได้นานถึงหนึ่งพันปีเป็นอย่างน้อยหากไม่ตกแตกหรือถูกทำให้ชำรุดไปเสียก่อน
ทั้งนี้หลวงปู่ทิม มองการณ์ไกลเรื่องสีขององค์พระที่ใช้น้ำว่านชนิดต่างๆมาผสมเพื่อความเป็นศิริมงคล มหานิยม มหาเสน่ห์ รวมทั้งเป็นสีประจำวันเกิดจึงได้นำว่านชนิดต่างๆมาคั้นน้ำผสมกับผงพรายกุมารและเนื้อข้าวเหนียวสุกเสกรวมทั้งน้ำข้าว ถ้าหากอยากได้สีขาวก้อไม่ต้องผสมน้ำว่าน ใช้ผงพรายกุมารเดิมๆ แต่ถ้าต้องการสีแดง ก้อผสมน้ำปูนกินหมาก/สีชมพู ผสมน้ำว่านสบู่เลือด/สีเหลือง ผสมน้ำว่านดอกทองซึ่งโยมสายไปเอาว่านดอกทองมาจากอ.สัตหีบ ชลบุรีว่านดอกทองนี้จัดเป็นมหาเสน่ห์นิยม หายากมาก/สีเขียว ผสมน้ำเถาวัลย์หลงและน้ำว่านขัดตามอญ/สีดำ ผสมว่านไพรดำ ว่านที่เชื่อกันว่ามีเทวดาปกปักรักษาว่านชนิดนี้ ส่วนองค์ที่มีสีทองนั้น หลวงปู่ทิมได้ให้ลูกศิษย์ไปขุดสายแร่ทองคำและสายแร่ทองแดงที่ถ้ำแห่งหนึ่งในจ.นครศรีธรรมราชก่อนที่จะตำให้ละเอียด ชุบน้ำมันงาพระเจ้าตากทาลงไปที่แม่พิมพ์ก่อนกดพิมพ์พระด้วยมือซึ่งนอกจากจะทำให้พระพิมพ์ขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ใหญ่มีสภาพที่สวยงามดุจทองคำแล้ว ยังเป็นการถนอมเนื้อพระให้แกร่งอยู่ได้นานคงทนหลายร้อยปีจนถึงพันปีเลยทีเดียว
หลังจากนั้นในปีพ.ศ.2515 เมื่อได้พิมพ์พระขุนแผนพรายกุมารทั้งพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็กตามจำนวนที่ต้องการหลวงปู่ทิม ได้สั่งให้ลูกศิษย์เลื่อยผ่าแม่พิมพ์ทั้งหมดเป็น 4 ชิ้นนำไปเก็บไว้ที่บ้านลูกศิษย์ทั้ง4 ทิศทั่วทุกภาคทั่วไทยเพื่อให้พระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิมโด่งดังไปทั้งสี่ทิศตามความเชื่อและตั้งใจของหลวงปู่ทิม
วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน12 ปีพ.ศ.2515 หลวงปู่ทิม ได้หยุดทำพระผงพรายกุมารที่เป็นวิชาไสยเวทย์ด้านลึกลับเพราะมี"บัวผุด"ต้นเล็กๆผุดดอกขึ้นมาจากกะบะล้างหน้านั่นหมายความว่าหลวงปู่ทิม ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอภิญญาหรือบรรลุอภิญญาเป็นพระอรหันต์ ท่านจึงเลิกทำพระผงพรายกุมาร และได้นำ'ดอกบัวผุด'มาผสมกับว่านไพรดำปั้นเป็น'พิมพ์พระปิดตาบัวผุด'ได้ทั้งสิ้น 22 องค์ พระพิมพ์นี้เป็นพระที่หลวงปู่ทิม ใช้พกติดย่ามเวลาเดินทางไปปลุกเสกนอกสถานที่ที่มีวัดต่างๆเชิญเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในปีพ.ศ.2516-2518 แต่พระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมารปีพ.ศ.2517 นั้นยังหาหลักฐานการสร้างไม่เจอเพราะถ้าหากมีการสร้างพระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมารพิมพ์ปี2517 จริง ทำไมจึงไม่มีพระขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ปี2517 ในพื้นที่บ้านค่ายหรืออำเภอต่างๆในจังหวัดระยองเลย ทั้งๆที่เหรียญเจริญพร,เหรียญรูปไข่ผูกพัทธสีมาและเหรียญที่ปลุกเสกทุกชนิดในปี2517 สามารถพบเห็นได้ในตลาดไผ่ล้อมตำบลบ้านค่ายและตำบลหนองละลอก รวมทั้งตำบลอื่นของอำเภอบ้านค่าย ระยองในปัจจุบัน ส่วนพระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิมจะมีให้เห็นเฉพาะ"พระพิมพ์ขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ปี2505-2515 เท่านั้น
ส่วน"พระพิมพ์ขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ปี2517"ที่พวกเซียนพระกทม.บอกเป็นพิมพ์นิยมหรือบล๊อคนิยม/บล๊อคแรกนั้น ไม่มีให้เห็นแม้แต่องค์เดียวในพื้นที่บ้านค่ายและอำเภออื่นของระยองช่วงปี2517-2518 จนกระทั่งหลวงปู่ทิม ได้ล้มป่วยลงในช่วงต้นปีพ.ศ.2518 ก่อนจะมรณภาพในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2518 หลังจากนั้นเราจึงจะได้เห็นพระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมารที่'หนังสือพระเครื่องระบุผ่านตัวหนังสือว่ามีการสร้างพระพิมพ์นี้ในปี2517'แต่หาหลักฐานการสร้างไม่เจอ
"พระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่"กันแบบผิดๆมาโดยตลอด ของแท้ที่ปลุกเสกด้วยผงพรายกุมารโดยหลวงปู่ทิมระหว่างปี2505-2515 ถูกตีค่าว่าเก๊ ปลอมทุกพิมพ์ทุกรุ่นทั้งที่ทางวัดละหารไร่และชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างพระพิมพ์นี้ขึ้นมา ข้อกล่าวหาว่าเก๊ ว่าปลอมมีขึ้นหลังจากที่"หลวงปู่ทิม อิสริโก"ได้มรณภาพไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2518
โดยผมคนหนึ่งครับ ที่รับรู้รับทราบความจริงมาโดยตลอดจากนักเล่นการพนันตัวยงคนหนึ่งของอำเภอบ้านค่าย ระยองที่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วซึ่งอยู่ในขบวนการปลอมพระผงพรายกุมารหลวงปู่ทิมยุคแรกเริ่ม...นี่คือเรื่องจริงจากพื้นที่บ้านค่ายครับ
"ประมาณช่วงปีพ.ศ.2524-2526 มีข่าวการปลอมพระผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ดังอย่างต่อเนื่องโดยคนในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย ระยองร่วมมือกับคนนอกพื้นที่ที่เป็นเซียนพระมาจากกทม.จนมีประโยคเด็ดที่ผมจำได้ชัดเจนไม่เคยลืมเลือนไปจากสมองเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นประโยคที่พูดในช่วงปีพ.ศ.2524-2526 ของนักการพนันผู้นี้ ระหว่างที่นั่งดู'มวยตู้ถ่ายทอดสดจากเวทีช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ'ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ของปี2524 ที่ค่ายมวยเลือดบ้านค่าย เขตเทศบาลตำบลบ้านค่าย ระยองที่บอกและพูดคุยกับเพื่อนกลุ่มดูมวยตู้ด้วยสำเนียงเหน่อภาษาระยองว่า
"ต่อไปนี้นะพระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม จะเล่นยากเพราะของแท้ที่หลวงปู่ทิมปลุกเสก สร้างทำกับมือตัวเอง ทำจากวัดจะถูกตีค่าว่าเก๊ เป็นของปลอมไปเสียฉิบและของที่หลวงปู่ทิมไม่ได้ทำจะถูกอุปโลกขึ้นมาเป็นของแท้ เป็นบล๊อคแรก เป็นบล๊อคนิยม...แต่เดี๋ยวคอยดูนะถ้าหลวงปู่ทิม ศักดิ์สิทธิ์จริงตามคำร่ำลือความจริงต้องถูกเปิดเผยขึ้นมาจนได้น่า..."
และหลังจากนั้นประโยคที่สื่อความหมายแบบนี้หรือใครจะพูดแบบไหนก้อตาม จะหมายความว่า
'พระขุนแผนผงพรายกุมารแท้ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เกจิผู้เปรียบดั่งเทพเจ้าของชาวภาคตะวันออกโดนตีค่าว่าเก๊ ว่าปลอม ส่วนพระขุนแผนผงพรายกุมารที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากการมรณภาพของหลวงปู่ทิม จะถูกชูขึ้นมาหรือ่เขียนเชียร์ขึ้นมาว่าเป็นของแท้ หรือพูดเกินจริงว่าสวยที่สุดในสามโลกตามคำพรรณาโวหารที่โกหกหลอกลวง ไร้ซึ่งความจริงใจทั้งที่ความสวยงามและมีศิลปะในการสร้างพระพิมพ์พรายกุมารสู้ของเก่าที่สร้างระหว่างปี2505-2515 ที่ถูกตีค่าว่าเก๊ว่าปลอม แต่เป็นของแท้จากหลวงปู่ทิม ความงดงามสู้กันไม่ได้อย่างสิ้นเชิงครับ
และจากวันนั้นในปีพ.ศ.2524 ที่มีข่าวการนำ'ลูกอมผงพรายกุมาร'ไปบดให้ละเอียดและกดพิมพ์ใหม่ที่ระบุว่าเป็นพิมพ์ปี2517 นั้นถึงวันนี้ 33 ปีพอดีครับ.."ความจริงกำลังทำหน้าที่ของตัวเองแล้วโดยมีความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทิม หนุนนำ"
เพราะเมื่อถึงเวลานี้ หลายคนอาจจะมี"พระที่ไม่ใช่หลวงปู่ทิมปลุกเสก หรือปลุกเสกเพียงผงพรายกุมาร แต่บอกว่าเป็นพระขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิม อยู่ที่คอตัวเองก้อได้..เพราะข้อมูลที่เชื่อถือได้เขียนโดยเซียนพระคนดังเมื่อหลายปีก่อน'ใหญ่ ท่าไม้'ระบุเรื่องการนำลูกอมไปกดพิมพ์พระขุนแผนผงพรายกุมารใหม่ว่า'ผงใช่ พระไม่ใช่'เพราะให้หลวงปู่แก้ว ปลุกเสก
"พระพิมพ์ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ที่มีข่าวเห็นกุมารทองออกมาวิ่งตามรถของคนที่แขวนพระพิมพ์นี้หรือมีกุมารทองบรรจุอยู่ที่องค์พระแต่ละองค์คือพระพิมพ์ปี2505-2515 ครับ....แต่เป็นกุมารทองที่คอยมาดลใจให้ทำในสิ่งที่ดี ละเว้นทำชั่วตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่ทิม ดังนั้นเขามาดี ไม่มีพิษภัยแน่นอนพระพิมพ์นี้หลวงปู่ทิมสร้างพิมพ์เล็กให้ผู้หญิงใช้ ส่วนผู้ชายต้องพิมพ์ใหญ่หรือสะดวกพิมพ์เล็กก้อได้ไม่ผิดกฎกติกาแต่อย่างใดครับ"

ขั้นตอนการสร้างพระขุนแผนพรายกุมารนั้น ทำมาจาก ศพที่ตายทั้งกลม ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ทั้งเฮี้ยนและ ดุ และว่านมงคลต่าง ๆ 
ซึ่งหลวงปู่ได้ให้นาย ราบ ไปเอามาและปลุกเสก 3 วัน 3 คืน แล้ว จึงให้ นาย ราบ ไป ตำ และได้ให้ลุง แมง เพียงคนเดียวที่เป็นคนกด 
พระชุดนนี้ขึ้นมา ซึ่งได้ให้ลุงแมงนุ่งขาว ห่ม ขาว และทำเสร็จหลวงปู่ได้อาบน้ำมนต์ให้ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน เพราะว่ากลัวอาถรรณ์ผงพรายกุมารที่ติอตัวกลับไป
การจัดสร้างปี 2517 " ข้อมูลจากหนังสือพระเครื่อง หลวงปู่ทิม โดย อาจารย์ ชินพร 

เกจิหลาย ๆ ท่านก็มิอาจทำได้ ยกเว้นหลวงปู่ทิม ที่สร้างขึ้นมากำเนิดแห่งศรัทธาที่มีต่อหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จ.ระยองจากประวัติของพระครูภาวนาภิรัติ " หลวงปู่ทิม อิสริโก " ที่เราได้รับทราบกันมาแล้วว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่เพรียบพร้อมด้วยศีลจริยาวัตรอันงดงามเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ติดยึดในรูป เสียง กลิ่น รส ฉันเจ ตลอดชีวิต แม้กระทั่งน้ำปลาก็ไม่ฉันและฉันภัตราหารเพียงมื้อเดียวจึงนั้นควรว่าหลวงปู่ทิม ท่านคือพระอริยสงฆ์ที่เหล่าศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศไทยให้ความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งได้โดยแท้จริง 

เกจิหลาย ๆ ท่าน ก็มิกล้า เสกทับ พระเครื่องของท่าน ล้วนแต่บอกว่า 
" ของท่านดีอยู่แล้ว เราไม่เสกทับหรอก " 
ถ้าพูดถึงผงพรายกุมาร...กับเนื้อโลหะ...ของหลวงปู่ทิม ผมรักและชอบผงพรายกุมาร มากกว่าเพราะผงพรายนั้นมีฤทธิ์ทางด้านจิตใจสูง..มากกว่าชุดเนื้อโลหะที่มีคุณวิเศษทางด้านความเป็นศิริมงคล ความเจริญก้าวหน้า เพราะเหตุผลที่หลวงปู่ฯท่านได้ใช้จิตที่ติดยึดในธาตุขันต์ของภูติมาประจุไว้ในผงพรายที่ได้นำมาจัดสร้างเป็นพระเครื่องรุ่นต่างๆ จึงมีผลในเรื่องของการดลจิตใจให้เราพบเจอแต่สิ่งดีๆมีโชคลาภตามวาสนาของแต่ละคนหรือดลใจให้หลีกพ้นอันตรายที่จะมีมาถึงตนในระยะอันใกล้ให้ออกห่างจุดที่จะได้รับอันตราย แบบที่เราเรียกกันว่าแคล้วคลาด หรือแม้กระทั่ง มาปรากฏกายให้เราเห็นหรือให้ผู้อื่นเห็นมามากต่อมากแล้วนี่แหละครับที่ทำให้ผมและศิษย์หลายๆท่านเกิดความรักหวงแหนและประทับใจไม่รู้ลืมที่เดียวครับ


คาถาบูชาพระเครื่อง หลวงปู่ทิม

(นะโม 3 จบ)

อิติสุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ (3จบ)


มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อะนัตตา พุทโธ พุทโธ (3จบ)
ประวัติการสร้างวัตถุมงคล
ประวัติหลวงปู่ทิม ท่านเป็นที่รู้จักและโด่งดังมากในวงการพระเครื่องในยุค ปี2500 เป็นต้นมา พระเครื่องหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ แทบทุกรุ่นเป็นที่กล่าวขานและต้องการอย่างมากของนักสะสมพระเครื่องเนื่องด้วยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะพระผงตระกูลผงพรายกุมาร เช่น พระขุนแผน พระผงหลวงปู่ทิมพิมพ์เศียรโต ลูกอมผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ พระกริ่งชินบัญชร ปี 2517 เหรียญเสมา 8 รอบ เหรียญนาคปรก 8 รอบ เหรียญนั่งพานหลวงปู่ทิม เหรียญห่วงเชื่อมหลวงปู่ทิม เหรียญหลวงปู่ทิม เจริญพรบน เหรียญเจริญพรล่าง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ปี17 เหรียญพระพุทธโสธร หลวงปู่ทิม ปี2518 พระปิดตาข้าวตอกแตก พระปิดตาอุตตโม หนุมาน 500 หนุมาน หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ภาพถ่ายหลวงปู่ทิมและรูปถ่ายหลวงพ่อทิม รูปหล่อไตรมาส พระปรกใบมะขามและยังมีอีกมากมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าพระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านหลายๆรุ่นเป็นที่นิยมและมีราคาค่านิยมที่สูงมาก สูงกว่าพระกรุพระเก่าหลายๆรุ่น

Wednesday, June 3, 2015


ประวัติความเป็นมาของวัดละหารไร่

หมู่ที่ ๘ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

วัดละหารไร่นี้ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า รองเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ในสมัยนั้น เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งตรงด้านตรงข้ามทางด้านเหนือของวัดละหารใหญ่ มีทำเลดีเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผัก จึงได้เกณฑ์พวกลูกศิษย์ช่วยกันหักร้างถางพงใช้เป็นที่ปลูกพืชผักไว้ขบฉันกินเป็นอาหาร ในฤดูแล้ง ในขั้นแรกได้ทำการสร้างที่พักร่มเงาเอาไว้ เมื่อถึงเลวเข้าพรรษาก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ ต่อมามีผู้คนได้ไปทำไร่ในแถบใกล้ ๆ ที่นั้นมากขึ้น และเห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่ เมื่อถึงวันพระก็จัดทำภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ และต่อ ๆ มาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น ๆ จึงได้ก่อสร้างกุฏิวิหารขึ้น พระสงฆ์ก็จำพรรษาที่นั่นได้ แล้วตั้งชื่อว่าวัดละหารไร่ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ไปเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

 ด้วยเหตุว่า   การค้นคว้าหาประวัตินั้นลำบากมาก เพราะเป็นเวลาเกือบ ๒๐๐ ปีมาแล้ว จึงได้อาศัยการเล่าสืบต่อกันมาและหลักฐานบางประการที่พอจะสันนิษฐานได้เป็นเรื่องประกอบในขณะที่ก่อตั้งวัดละหารไร่แล้วนั้น หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าก็เป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ จึงสันนิษฐานว่าเมื่อวัดละหารไร่มีภิกษุที่อาวุโสอยู่บ้างแล้ว หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าจึงมอบให้ปกครองกันเอง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นหลวงพ่อแดงเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ องค์ต่อมาจากหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ส่วนตัวท่านกลังไปเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ตามเดิม ต่อจากคุณพ่อเฒ่าจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ในสมัยนั้น เหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่มีใครทราบโดยละเอียด แต่มีหนังสือบางเล่มอ้างว่า หลังจากหลวงพ่อแดงแล้ว หลวงพ่อองค์ต่อ ๆ มาคือ หลวงพ่อเกิด หลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อจ๋วม เป็นลำดับ หลังจากหลวงพ่อจ๋วมลาสิกขาไปแล้ว ทำให้วัดละหารไร่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลยเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาหลวงพ่อทิม งามศรี (ฉายา อิสริโก) ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดละหารไร่นี้เป็นต้นมา จึงได้เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นสืบมา




ประวัติหลวงปู่ทิม
หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม นามสกุลงามศรี เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ ๒ ตำบลละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชายทั้ง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เกิดเมื่อ ปีมะแม วันศุกร์ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๑๖ เดือน มิถุนายน ๒๔๒๒ เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี
หลวงปู่ทิมเป็นหลานของหลวงปู่สังข์ โดยมารดาของท่านเป็นน้องสาวหลวงปู่สังข์ หลวงปู่สังข์นี้เป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก น้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าในวิทยาอาคมของท่าน จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น ก่อนที่จะไปอยู่วัดเก๋งจีนนั้น หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งตำราและวิทยาการต่าง ๆ ไว้ที่วัดละหารไร่ทั้งหมด เพราะท่านไม่หวงแหนในวิชาของท่านแต่อย่างใด ท่านกล่าวว่า "ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าเอาเอง" บรรดาตำราและวิทยาการต่าง ๆ หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่นี้เองที่หลวงปู่ทิมก็ได้ใช้ศึกษาในเวลาต่อมา

เมื่อท่านพระครูภาวนาภิรัติหรือหลวงพ่อทิม มีอายุเจริญวัยได้ ๑๗ ปี นายแจ้ผู้เป็นบิดาได้ส่งเสียและนำตัวของหลวงปู่ทิมไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับท่านพ่อสิงห์พระอาจารย์เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี และมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจเขียนได้อ่านออกดีแล้ว นายแจ้ผู้เป็นบิดาของท่านจึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ขอตัวหลวงปู่ทิมให้กลับมาอยู่ที่บ้านเช่นเดิมเพราะไม่มีคนช่วย หลวงปู่ทิมจึงได้ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดี ผู้มีความกตัญญูกตเวที รู้จักปฏิบัติพ่อแม่มาด้วยดีตลอด

ในวัยหนุ่มของหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นคนคะนองเอาการอยู่ โดยท่านจะเป็นคนไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวด้วยการยิงนกตกปลาและออกเที่ยวล่าสัตว์ใหญ่ เพื่อนำไปขาย ซึ่งท่านทำไปด้วยความคึกคะนองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวของท่าน

จนเมื่อท่านอายุได้ ๑๙ ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเป็นทหารและได้เข้าประจำการที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง ๔ ปีเศษ จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม และเมื่อกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน บิดาของท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ 
อุปสมบท
หลวงปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ๒๔๔๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว วัดทับมาเป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สิงห์ (พระอาจารย์ของท่าน ในขณะที่ท่านได้ศึกษาครั้งแรก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมา วัดละหารไร่ ได้ฉายาว่า อิสริโก เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์สิงห์ได้ ๑ พรรษา ขณะที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้น ท่านได้ค้นคว้าและศึกษาตำราของหลวงปู่สังข์ทีท่านได้ทิ้งไว้ให้ตามตู้พระไตรปิฎกอย่างตั้งใจ เพราะท่านมีความสนใจในทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่ทิม อิสริโก นับว่าเป็นพระอาจารย์ที่แปลกกว่าพระอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน คือ ท่านต้องการฝึกฝนตนเองด้วยการออกไปหาประสบการณ์ด้วยการออกเดินธุดงค์ ซึ่งพระในรุ่นเดียวกันไม่มีใครคิดที่จะออกไปแสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างท่าน เพราะต้องการศึกษาในทางพระปริยัติธรรมเท่านั้น
เมื่ออยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านก็มาพิจารณาว่า ท่านก็ได้ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว จึงควรเดินทางกลับมาพักเสียที เมื่อคิดดังนั้น ท่านก็เดินทางกลับมาจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็นเวลา 2 พรรษา ระหว่างนั้นท่านก็ได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์หลายอาจารย์ด้วยกันรวมทั้งฆราวาส โยมเริ่ม โยมรอด และโยมสาย นอกจากนั้นยังศึกษาตำราซึ่งตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของหลวงปู่ทิม เป็นเวลา 2 ปี เศษ และต่อมาท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ (วัดไร่วารี) ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน
วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยังต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่ ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบ ๆ เท่านั้น หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติโยมในท้องถิ่นนั้น คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน คือ นายทัต นายเปี่ยม และ นายแหยม ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก
เมื่อหลวงปู่ทิมมาอยู่วัดละหารไร่แล้ว ต่อมาคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้ท่านเป็น พระอธิการทิม อิสริโก เจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะ บูรณะซ่อมแซมกุฏิ และอื่น ๆ อีกหลายอย่างพร้อมด้วยญาติโยมทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสต่อท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก ต่อมาท่านจึงชักชวนบ้านและญาติโยมทั้งหลายได้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ประมาณ 1 ปีเศษ ก็แล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาเรียบร้อยในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น และในปี พ.ศ. ๒๔๘๓  หลวงพ่อทิมได้จัดให้มีการเปิดโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อสอนกุลบุตรกุลธิดาของประชาชน โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่สอน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วยกับการศึกษาจึงร่วมมือกับหลวงพ่อสร้างอาคารเรียนขึ้น ๑ หลัง ตามแบบ ป.๑ ข. โดยใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จเรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันอาคารหลังนี้ชำรุดทรุดโทรมและรื้อถอนไปไม่ได้ใช้แล้ว  ต่อมาท่านก็ชักชวนชาวบ้านช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง สร้างหอฉันและศาลาการเปรียญสำเร็จ ด้วยเงินกว่า ๔ ล้านกว่า งานของท่านก็ได้บรรลุถึงความสำเร็จโดยเรียบร้อยทุกประการ
ด้วยผลงานดังกล่าว ในปี ๒๔๗๘ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ต่อมาในปี ๒๔๙๗ ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร และในปี ๒๕๐๗ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูภาวนาภิรัติ
ในครั้งแรกท่านไม่ใยดีกับยศตำแหน่งที่ทางการคณะสงฆ์ได้มอบให้ และถูกทางคณะสงฆ์เร่งรัดให้ท่านเดินทางไปรับพัดยศที่จังหวัด ซึ่งท่านก็ไม่ไปรับ จนกระทั่งชาวบ้านรู้ข่าว จำต้องพร้อมในกันจัดขบวนแห่ไปรับพัดยศและตราตั้งมาถวายให้กับท่านถึงวัด ท่านจึงต้องจำยอมรับอย่างเสียมิได้ โดยมีนายสาย แก้วสว่าง ในฐานะเป็นไวยาวัจกรและศิษย์ผู้ใกล้ชิด เป็นผู้นำคณะชาวบ้านไปรับพัดยศมาถวาย

หลวงปู่เป็นพระที่น่าเคารพและบูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส ท่านฉันเช้าประมาณ ๗ โมงเช้าและน้ำชาก็เวลา ๔ โมงเย็น ถ้าเลยเวลาหลวงปู่ไม่ยอมฉันแม้แต่น้ำชา ท่านฉันข้าวมื้อเดียวมาประมาณ ๔๗ ปี และ เนื้อ หมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิด ท่านไม่ยอมฉัน มา ๔๗ ปีแล้ว แม้แต่น้ำปลาก็ไม่ฉัน อาหารที่ท่านฉันเป็น ผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่นอย่างนี้อยู่เป็นนิจตลอดมา
มรณภาพ
ในราตรีของวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2518 เวลา 23.35 น. กฎธรรมชาติอันเป็นสัจจะ คือ ชีวิต และ สังขารของสรรพสัตว์ที่อุบัติขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน เมื่อถึงกาลสิ้นอายุขัยแล้ว ชีวิตก็จะดับสังขารก็ผุพังมลายไปนั้น ได้ทำให้ชาวพุทธทั้งหลาย ต้องสูญเสียพระเถระผู้ทรงคุณอันประเสริฐไปอีกท่านหนึ่ง นั่นคือ พระคุณเจ้าพระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่ทิม) เจ้าอาวาสวัดไร่วารี จังหวัดระยอง เมื่อมีอายุได้ 96 ปีบริบูรณ์ ย่าง 97 ได้ 4 เดือน
ที่พระคุณเจ้าท่านนี้ เป็นพระเถระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ นั้นก็เพราะพระคุณเจ้าท่าน เมื่อสละเพศฆราวาสมาครองสมณเพศ (ขึ้นต้นด้วยบรรพชาเป็นสามเณรก่อน เมื่ออายุครบ จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์) ท่านมีปฏิปทา เหมาะสมเป็นพระสาวกของสมเด็จพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ขึ้นต้นด้วยยึดมั่นต่อพระธรรมวินัยของพระองค์อย่างเคร่งครัด ฉันภัตตาหารเพียงมื้อเดียว ภัตตาหารที่ฉันก็เป็นพืชผักและผลไม้ ปราศจากเนื้อสัตว์ชนิดใดทั้งสิ้น เพราะท่านไม่ต้องการเบียดเบียนทั้งมนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานที่เนื้อของมันเป็นอาหารของมนุษย์ โดยธรรมชาติกำหนด ซึ่งพระภิกษุส่วนมากก็ฉันกันโดยเต็มอกเต็มใจ และเอร็ดอร่อยในเนื้อสัตว์บางชนิดเป็นพิเศษ นอกจากท่านจะไม่เบียดเบียนแล้ว ในจิตสำนึกของท่านยังเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
เมื่อท่านมุ่งหน้าสู่ร่มเงา ของพระบวรพุทธศาสนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด ไม่ใช่มุ่งไปสู่โดยมุ่งหมาย เอาวัดเป็นที่อยู่ อาศัย และ อาหารที่ชาวพุทธมีจิตศรัทธาต่อผู้ห่มครองกาสาวพัสตร์ถวายเป็นสิ่งยังชีพ ฉะนั้นท่านจึงตั้งอกตั้งใจศึกษา พระธรรม ของสมเด็จพระพุทธองค์ กระทั่งซึ้งและแตกฉาน การศึกษานี้เรียกว่า คันถธุระ และ ทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านก็พากเพียรฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุญานชั้นสูง มีอินทรีย์ทางญาณแก่กล้า มีทิพจักขุและทิพโสด และ สามารถล่วงรู้ถึงวาระกำหนดที่ดวงวิญญาณของท่าน จะต้องสละร่างที่เสมือนเรือนที่ผุพังใช้เป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไปไม่ได้ล่วงหน้า และเมื่อถึงวาระนั้นแล้ว ก็สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างได้ ซึ่งเป็นการตายของอริยบุคคล อันผิดจากการตายของบุคคลสามัญธรรมดาทั่วไป ซึ่งการตายของบุคคลสามัญนั้นหัวใจหยุดเต้น ด้วยความล้าถึงที่สุดแล้ววิญญาณจึงออกจากร่าง เรียกว่า “สิ้นใจ” ในระหว่างที่หัวใจค่อย ๆ ล้าลงจนถึงที่สุดนั้น ส่วนมากเจ้าของร่างจะไม่มีสติ พูดจาอะไรไม่มีใครรู้เรื่อง เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบาแสนเบา ส่วนการตายโดยการถอดวิญญาณของท่านอริยบุคคล (ซึ่งส่วนมากอยู่ในสมณเพศ) นั้น หัวใจจะหยุดเต้นเมื่อถอดวิญญาณออกจากร่างแล้ว และก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่างไปนั้น สติจะมีอยู่อย่างสมบูรณ์พูดจาสั่งเสียอะไรได้เหมือนกับว่าจะยังไม่ตาย
การถอดวิญญาณออกจากร่างของอริยบุคคล นอกจากไปเลยพราะร่างทรุดโทรมเพราะความชราหรือถูกโรคร้ายคุกคาม ไม่อาจรักษาเยี่ยวยาเหมือนบ้านเรือนที่ผุพังแล้วซ่อมใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีก อันหมายถึงวาระสิ้นอายุขัยนั้นแล้วยังสามารถถอดออกไปให้ผู้คนเห็นกันในที่ไกลแสนไกลด้วยกายทิพย์ละกายเนื้อไว้ที่เดิม แล้วจึงกลับมาอย่างเช่น พระคุณเจ้า ธมฺมวิตกฺโก ได้ถอดวิญญาณออกจากร่างอันเป็นกายเนื้อของท่าน ไปปรากฏร่างด้วยกายทิพช่วยบำบัดทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บให้กับฝรั่งคนหนึ่งที่สหรัฐอเมริกา โดยที่ฝรั่งนายนั้นได้ทำบุญกุศลร่วมกับท่านมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ และ นายฝรั่งผู้นั้นได้ติดต่อมา สืบหาพระคุณเจ้าธมฺมวิตกฺโก เมื่อพระคุณเจ้าพระครูธรรมวัฒน์สุนทร ผู้ใกล้ชิดพระคุณเจ้าธมฺวิตกฺโก ได้ไต่ถามพระคุณเจ้า ไม่ตอบรับและก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งนี้เพราะใช่ วิสัยพระอริยสงฆ์ จะโอ่อวดและกล่าวเท็จ จึงตอบด้วยหัวเราะอยู่ในลำคอ เป็นการตัดบท
จากการไปจากโลกนี้ของพระคุณเจ้าพระครูภาวนาภิรัต-หลวงปู่ทิม โดยการถอดวิญญาณไปทิ้งกายเนื้อที่ทรุดโทรมด้วยความชราภาพไว้ ข้าพเจ้าไม่ได้ทึกทักพูดเอาเอง ข้าพเจ้าพูด จากการบอกของท่านที่ได้บอกแก่บรรดาศิษย์ที่เฝ้าอาการอาพาธของท่านที่โรงพยาบาล ว่า ท่านขอกลับวัด เพื่อทำพิธีถอดวิญญาณ เพราะท่านจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะท่านได้ขอผัดผ่อนต่อเบื้องบนมาสามครั้งสามคราวแล้ว
ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้ไปใกล้ชิดท่าน จึงได้แต่ถามข่าวคราวของท่านจากคุณชินพร และวิเคราะห์ตามวิชาการที่ได้ศึกษา ข้าพเจ้าก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ซึ่งขอนำมาบอกเล่าในโอกาส ส่วนท่านจะไม่เชื่อและเห็นว่าข้าพเจ้าเพ้อเจ้อ ก็สุดแต่อัธยาศัยของท่าน
ความจริง อายุขัยของท่านครบกำหนดที่จะต้องจากโลกมนุษย์ไปแล้วตั้งต่อายุของท่านได้ 92 ปี แต่ด้วยอานิสงส์อันเป็นกุศลเจตนาที่ท่านตั้งปณิธานขอสร้างสิ่งซึ่งจะเป็นศรีสง่าให้แก่วัดไร่วารี ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในป่าที่ท่านได้จำพรรษาในฐานะเจ้าอาวาสมาตั้งแต่หนุ่มจนสู่วัยชรา นั่นคือ “ศาลาการเปรียญ” อันโอ่อ่ามูลค่าก่อสร้างถึงสองล้านห้าแสน บาท แต่ท่านก็ต้องรอเรื่อยมาจนอายุล่วง 90 เพราะขาดปัจจัยที่จะใช้ในการก่อสร้าง ท่านจึงต้องขอต่อเบื้องบนซึ่งเป็นผู้กำหนดอายุขัย ของสรรพสัตว์ให้มีชีวิตยืนยาวจนกว่าจะสร้างเสร็จ ซึ่งท่านก็ต้องผัดผ่อนถึง 3 คราว ทั้งนี้เพราะทิพญาณช่วยให้ท่านรู้ว่าจะต้องมีผู้มาช่วยให้ท่านได้ปัจจัยมาก่อสร้างอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริง เมื่อคุณประชา ตรีพาสัย ผู้เป็นชาวจังหวัดระยอง แต่ตอนนั้นเป็นข้าราชการกรมชลประทานได้พาคุณชินพร สุขสถิตย์ ไปนมัสการท่าน พอได้เห็นท่าน คุณชินพรก็บังเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาท่านอย่างสูงสุด และท่านเองก็บังเกิดความปิติ กล่าวออกมาว่า “ผู้ที่จะช่วยให้อาตมาสมปณิธานมาแล้ว”
หลังจากนั้นคุณชินพรก็ได้ลงทุนสร้างพระกริ่งและพระไชยวัฒน์ถวายนามว่า “ชินบัญชร” และ เหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นก่อนเป็นประเดิม มอบให้ท่านประจุพระพุทธานุภาพ อิทธิ อภินิหารแล้วนำออกสมนาคุณแก่ผู้บริจาคปัจจัยเพื่อก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ ตามปณิธานของท่าน และก็ด้วยบารมีของท่าน วัตถุมงคลนั้นได้รับความศรัทธาจากชาวพุทธทั้งหลาย ยังผงให้หมดไปในเวลาเพียงไม่ถึง 2 เดือน การก่อสร้างศาลาการเปรียญตามปณิธานของท่านจึงเริ่มขึ้น ซึ่งบัดนี้ก็ได้เสร็จแล้ว
วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นนั้น ผู้ที่บูชาเช่าไปต่างก็เทิดทูน หวงแหน เพราะมีอิทธิอภินิหารจริง ๆโดยเฉพาะ พระกริ่ง นั้นได้มีผู้ทดลองอาราธนาฟาดสายรุ้ง ปรากฏว่า สายรุ้งขาดเป็นท่อน ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
ว่าถึงอิทธิอภินิหารของพระอริยสงฆ์ท่านนี้ อันแสดงว่าท่านบรรลุญาณขั้นสูง มีอีกอย่างตามที่ข้าพเจ้าได้รับบอกเล่า อันเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง นั่นคือในขณะที่จังหวัดระยองประสบอุทกภัย บริเวณวัดไร่วารีน้ำท่วมเพียงเอว ตอนสาย ๆ วันหนึ่ง พระคุณเจ้าเดินออกมาจากในกุฏิ ถือผ้ายันต์ของท่านมาด้วยผืนหนึ่ง ยืนบริกรรมที่หน้ากุฏิแล้วเหวี่ยงผ้ายันต์นั้นลงไปในน้ำ และหน้าอัศจรรย์ที่ผ้ายันต์ผืนนั้นคลี่ออกลอยบนผิวน้ำอย่างดิบดี และลอยลิ่วไปตามกระแสน้ำ หายลับตาไปสักครู่ใหญ่ ๆ ก็มีปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก โดยผ้ายันต์ผืนนั้นลอยทวนกระแสน้ำกลับมาหาท่าน และไม่กลับมาแต่ผ้ายันต์ซึ่งควรจะชุ่มน้ำจมหายไปอย่างเดียว ซ้ำบนผ้ายันต์ ยังมีลูกไก่ตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งอยู่บนนั้น ซึ่งท่านนำขึ้นมาเลี้ยงไว้บนกุฏิ
ถึงแม้สังขารของท่านจะอยู่ในสภาพชรา แต่ตามปรกติก็เป็นสังขารชราที่มีสุขภาพดี ไม่มีหลงลืมเลอะเลือน พูดจาป้ำเป๋ออย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อศาลาการเปรียญสร้างเสร็จ ท่านก็อาพาธด้วยไข้หวัด ขั้นแรกก็มีอาการเล็กน้อย แต่มีที่น่าสะดุดก็ตรงที่ท่านไม่ยอมฉันภัตตาหาร ซึ่งตามปรกติเป็นอาหารเจและฉันมื้อเดียว ในที่สุดก็เห็นกันว่าท่านมีอาการหนัก อาการบอกว่าท่านจะไปละ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจึงนำท่านไปรับการรักษาพยาบาลที่ ร.พ. ศรีราชา ทั้งที่ท่านไม่เต็มใจ
ในระหว่างที่ท่านอยู่ในโรงพยาบาล มดหมอจะทำอย่างไรกับสังขารของท่าน ท่านปล่อยให้ทำไปตามใจ ท่านหลับตาเข้าสมาธิ ไม่สนใจมีความรู้สึกต่อการกระทำของมดหมออย่างที่สังขารของท่านไร้วิญญาณ ภัตตาหารก็ไม่ยอมฉัน ต่อเมื่อหมอวางมือแล้วท่านจึงลืมตา พูดจากับลูกศิษย์ ลูกหาที่ไปเฝ้าดูอาการท่านอยู่
ครั้งถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2518 ท่านจึงขอให้นำสังขารของท่านกลับวัด และบอกว่าจะทำพิธีถอดดวงวิญญาณ จึงพาท่านกลับ แต่ลูกศิษย์ก็ไม่ยอมให้ท่านถอดดวงวิญญาณทั้งที่ท่านบอกให้รู้กันล่วงหน้าแล้วว่า “ศาลาการเปรียญสร้างเสร็จ ก็จะหลับไม่ตื่น” ในที่สุดถึงวันที่ 16 ตุลาคม ในตอนกลางคืน ท่านขอธูปมาจุด บูชาสมเด็จพระบรมศาสดา เสร็จแล้วไต่ถามสั่งเสีย ลูกศิษย์ลูกหาที่เฝ้าอยู่แล้วท่านก็หลับตาเข้าสมาธิ เวลาประมาณ 23.35 น.วิญญาณของท่านก็สละสังขาร – สละชนิดที่ไม่กลับคืนมาอีก เพราะถึงกำหนดที่ท่านขอผัดผ่อนแล้ว
การจุดธูปบูชาพระบรมศาสดาพระพุทธเจ้า แล้วเข้าสมาธิ นี่แหละเป็นกรรมวิธีในการถอดวิญญาณของพระอริยสงฆ์และอริยบุคคล ขอให้ท่านศึกษาเถิด แล้วท่านจะรู้ว่า ข้าพเจ้ามิได้เพ้อเจ้อ

ลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ที่บอกถึงว่าพระคุณเจ้า หลวงปู่ทิมได้จากไปโดยการถอดวิญญาณ นั่นคือ สังขารที่ท่านทิ้งไว้ มีหน้าตาสดใสผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีประกายยิ้มอย่างไร้กังวล อย่างที่ท่านหลับอย่างสุขขารมณ์